ตอนที่2
ศาสนายิว(Judaism)
ศาสนายิว(Judaism)
ศาสนายูดาห์เป็นศาสนาของชนชาติยิว ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพวกเสมิติก ที่แตกแยกมาจากภาคเหนือของทวีปเอเชีย และได้แพร่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศปาเลสไตน์ ต่อมาพวกฮีบรู บางพวกได้ตกเป็ยเชลยถูกกวาดต้อนไปอยู่ในประเทศอียิปต์แต่ทนการกดขี่ข่มเหงของพวกอียิปต์ไม่ไหว จึงพากันหลบหนีข้ามทะเลแดงไปรวมกันอยู่ในประเทศปาเลสไตน์อีก ดินแดนแห่งนี้มีชนชาติคานาอันหรือคานาไนต์อาศัยอยู่ พวกคานาอันเรียกพวกที่เข้ามาใหม่ว่า"ฮีบรู" แต่เพราะพวกยิวแสดงตัวว่าเป็นผู้มาดี พวกคานาอันจึงไม่รังเกียจ พวกฮีบรูมีหัวหน้าคนหนึ่งชื่อว่า "ยาคอบ" แต่เวลาทำพิธีทางศาสนาจะเรียกตัวเองว่า "อิสราเอล"
พวกยิวสืบเชื้อสายทางศาสนามาจากพวกคานาอันซึ่งนับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ "พระยะโฮวา" พวกยิวก็นับถือพระยะโฮวาด้วย และต่อมายังได้นับถือพระเจ้าของคานาอันอีกองค์หนึ่งด้วย คือ "พระเจ้าอาฮีรา" แต่ในที่สุดก็เลิกนับถือพระเจ้าอาฮีรา คงเหลือแต่พระยะโฮวาองค์เดียวแต่พวกยิวยังถูกข่มเหงรังแกจากพวกอียิปต์อีก ครั้งนี้เกือบทำให้ชาวยิวเลิกนับถือพระยะโฮวาแต่ได้อาศัยโมเสสซึ่งเป็นต้นกำเนิดศาสนายูดาห์(ยิว) ได้ชี้แจงจูงใจ และหว่านล้อมให้ชนชาวยิวนับถือพระยะโฮวาอย่างมั่นคงเหมือนเดิมหลังจากที่ได้เข้าไปอาศัยอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์
ศาสดา โมเสส เป็นศาสดาของศาสนายูดาห์ บิดาชื่อ อัมราม มารดาชื่อ โยเคเบด บิดามารดาของโมเสสสังกัดอยู่ในเผ่าเลวีของอิสราเอล สันนิษฐานกันว่า โมเสสเกิดในรัชสมัยของฟาโรห์ราเมสที่ 2 ก่อนปี ค.ศ. 1225-1292 ในสมัยนั้นประเทศอียิปต์มีนโยบายในการลดจำนวนคนยิว เนื่องจากจำนวนชาวยิวเพิ่มมากขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น ฟาห์โรเกรงว่าชาวยิวจะรวมกับพวกข้าศึกกลับมาโจมตีพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงมีบัญชาว่าเด็กชายที่เกิดมาในตระกูลของอิสราเอลทุกคนต้องถูกจับประหารชีวิต
มารดาบิดาของโมเสสกลัวว่าบุตรชายของตนจะไม่ปลอดภัยจึงซ่อนบุตรชายไว้เป็นเวลา 3 เดือน ต่อมาเมื่อพิจารณาเห็นว่าไม่ปลอดภัยแน่แล้วจึงได้นำบุตรชายใส่ตะกร้าลอยแพอธิษฐานเสี่ยงบุญไปตามแม่น้ำไนล์ เผอิญวันนั้นพระราชธิดาของฟาโรห์เสด็จลงสรงน้ำตอนใต้ของแม่น้ำไนล์ ทรงเห็นตะกร้าลอยมาจึงทรงลากมาดู ทรงเห็นเด็กน้อยน่ารักเกิดความสงสารอย่างจับพระทัยแล้วจึงนำไปเลี้ยงไว้ในฐานะบุตรบุญธรรม โดยขนานนามให้ว่า โมเสส พี่สาวของโมเสสชื่อมีเรียม ได้อาสาเป็นผู้เลี้ยงโมเสสและมารดาของโมเสสก็ได้รับคำสั่งให้ไปเลี้ยงโมเสสอีกคนด้วย
วันหนึ่ง มารดาผู้ให้กำเนิดโมเสสได้บอกความจริงเกี่ยวกับชีวิตที่แท้จริงให้ทราบ จุดนี้เองถือว่าเป็นระยะที่สำคัญที่สุดในการเตรียมการของโมเสสเพื่อการอพยพชาวยิวจากอียิปต์ โมเสสได้ศึกษากฎหมายโบราณ และการฝึกทางด้านการทหารจนทำให้โมเสสได้ความรู้ด้านการเป็นผู้นำคน
วันหนึ่งโมเสสได้เห็นชาวอียิปต์ผู้เป็นหัวหน้าการก่อสร้างแสดงอาการโหดร้ายทารุณต่อคนงานชาวยิวจนเกิดทะเลาะกันขึ้น โมเสสจึงฆ่าหัวหน้าผู้คุมงานคนนั้นตายไป เมื่อข่าวนี้ได้ทราบถึงฟาโรห์ พระองค์ทรงกริ้วอย่างรุนแรงและรับสั่งให้สำเร็จโทษโมเสส แต่โมเสสรู้ตัวจึงได้หลบหนีไปก่อนแล้วโดยไปอาศัยอยู่ในดินแดนมิเดีย โดยอาศัยอยู่กับบ้านหลวงพ่อยิวคนหนึ่งชื่อ เชโธร์ และในที่สุดก็ได้แต่งงานกับบุตรสาวหลวงพ่อชื่อ ชิปโปราห์
เมื่อสิ้นสมัยของฟาโรห์ราเมสที่ 2 แล้ว เมอร์เนปตาห์ราชโอรสได้ครองราชย์แทน โมเสสและเพื่อนชื่ออารอนได้เดินทางกลับไปสู่ดินแดนอียิปต์เพื่อขอร้องต่อพระเจ้าเมอร์เนปตาห์ ให้ชาวยิวทั้งมวลออกไป
จากอียิปต์ส฿่ดินแดนสัญญา คือ ปาเลสไตน์
ขณะนั้นโมเสสอายุ 80 ปี ได้นำชาวยิวอพยพออกจากอียิปต์ ในขณะเดียวกันฟาโรห์ทรงเกิดความระแวงในโมเสสและชาวอิสราเอล จึงรับสั่งให้ทหารและรถม้าออกติดตามเพื่อสังหารชาวยิวให้ตาย แต่บังเอิญเกิดปาฏิหาริย์คือน้ำทะเลแดงได้แยกให้ทางแก่โมเสสและชาวยิวข้ามน้ำไปได้ถึงฝั่ง แต่พอทหารฟาโรห์มาถึงและรีบข้ามน้ำตามไปอย่างรวดเร็ว ทหารของอียิปต์ทั้งหมดก็ถูกน้ำปิดเข้าอย่างเดิมและท่วมทหารอียิปต์ตายจนหมดสิ้น
วันหนึ่ง โมเสสได้ปลีกตัวออกจากคณะไปพักสงบอยู่บนยอดเขาซีนายเป็นเวลาถึง 40 วัน 40 คือ และ ณ ภูเขานี้โมเสสได้รับบัญญัติ 10 ประการ จากพระยะโฮวาผู้เป็นเจ้า บัญญัติดังกล่าวบันทึกบนแผ่นหิน 2 แผ่น โมเสสได้นำแผ่นหินนี้มาประกาศให้ชาวยิวทั้งหมดทราบและสามารถทำให้ทุกคนเชื่อตาม โมเสสได้พาชาวยิวเร่ร่อนไปเป็นเวลานานถึง 40 ปี ยังไม่ถึงแดนสัญญาหรือปาเลสไตน์ เพราะโมเสสถึงแก่กรรมก่อนเมื่อถึงภูเขาเนโป รวมอายุได้ 120 ปี
คัมภีร์
คัมภีร์ของศาสนายูดาห์มี 3 คัมภีร์ ดังนี้ 1. คัมภีร์เก่า (Old Testament) กล่าวถึงการแก้แค้นและการส่องสว่างของพระยะโฮวา และกล่าวว่าพระยะโฮวาเป็นผู้พิพากษาโลก นอกนั้นยังบรรจุคำสรรเสริญพระเจ้าพร้อมด้วยสุภาษิตอันเป็นคำสอน เช่น สอนไม่ให้กีดกันความดีจากคนที่ควรแก่ความดี
2. คัมภีร์โทราห์ (Torah) มีความหมายกว้างขวางมาก แบ่งออกเป็น 2 สาย ดังนี้
1. บทบัญญัติที่เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
2. บทบัญญัติที่ท่องจำกันมาด้วยปากเปล่า และคัมภีร์โทราห์นี้หมายรวมเอาคัมภีร์เก่าด้วย
3. คัมภีร์ทาลมุด (Talmud) ได้แต่งขึ้นประมาณปี ค.ศ. 390 - 420 เป็นคัมภีร์ที่กล่าวโจมตีพระเยซูรุนแรงมาก หรืออีกนัยหนึ่งคัมภีร์ทาลมุดเป็นงของศาสนายูดาห์ในการเป็นปฏิปักษ์กับพระเยซู
หลักธรรม กฎบัญญัติสูงสุดในศาสนายูดาห์ คือ บัญญัติ 10 ประการ ข้อความในพระบัญญัตินั้นครอบคลุมไปทั้งด้านศาสนา การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เป็นรากฐานของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ วินัยและศีล มีดังนี้
1. อย่าได้มีพระเจ้าอื่นต่อหน้าเราเลย
2. อย่าทำรูปปั้นสำหรับตน
3. อย่าออกพระนามของพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าเปล่าๆ
4. จงระลึกถึงวันซะบาโตถือเป็นวันศักดิ์สิทธิ์
5. จงนับถือบิดามารดาของเจ้า
6. อย่าฆ่าคน
7. อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
8. อย่าลักทรัพย์
9. อย่าเป็นพยานเท็จต่อเพื่อนบ้าน
10. อย่าโลภเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภริยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสาทาสีของเขา หรือสิ่งใดๆที่เป็นของเพื่อนบ้าน
นิกาย
ศาสนายูดาห์ แบ่งเป็นนิกายใหญ่ๆ 2 นิกาย ดังนี้1. นิกายออร์ทอดอกซ์ เป็นนิการที่มีความเคร่งครัด ถือปฏิบัติตามคัมภีร์โทราห์ เชื่อในบทบัญญัติของโมเสสและของแรบไบ (Rabbi) คืออาจารย์หรือพระในศาสนายูดาห์
2. นิกายโปรเกรสสีฟ เป็นนิกายที่ไม่เคร่งครัดนัก คือเป็นนิกายที่มีหัวก้าวหน้า นับถือกันในหมู่ปัญญาชนคนสมัยใหม่
พิธีกรรม
ในศาสนายูดาห์มีพิธีกรรมที่สำคัญ ดังนี้ 1. วันซะบาโต(Sabbath) คือวันที่เจ็ดของสัปดาห์ ถือเป็นวันบริสุทธิ์ ห้ามทำกิจกรรมใดๆทุกประการ ใช้เวลาทั้งหมดเป็นวันพักผ่อน สวดมนต์อธิษฐานภาวนา การอ่านคัมภีร์นมัสการและของคุณพระเจ้า
2. พิธีปัสคา(Pesach) เป็นพิธีกรรมสำคัญเกิดในสมัยของโมเสส เมื่อคืนวันก่อนที่ชาวยิวจะอพยพออกจากอียิปต์ พระเจ้าได้สั่งให้ชาวยิวฆ่าแกะและทำอาหารรับประทานกับขนมปังไม่มีเชื้อและให้รับประทานให้หมดในวันเดียว แล้วให้ทุบหม้อไห และเครื่องครัวทั้งหมด แล้วให้เอาเลือดแกะป้ายไว้ที่หน้าประตูเพราะในเวลากลางคืน พระเจ้าจะส่งทูตมรณะมาฆ่าทุกคนที่ไม่ใช่ชาวยิว ถ้าประตูบ้านของใครมีเลือดแกะทาอยู่ทูตมรณะจะข้ามไป จึงเรียกว่า ปัสคา แปลว่า ข้ามไป ชาวยิวฉลองวันนี้ด้วยการเลี้ยงใหญ่ และอธิษฐานของคุณพระเจ้า พิธีนี้ใช้เวลา 8 วัน ในวันสุดท้ายมีการฉลองใหญ่และทุกคนก็ร้องขึ้นพร้อมกันว่า "ปีหน้าพบกันที่เยรูซาเล็ม"
3. พิธีฉลองปีใหม่ที่เรียกว่า ร็อช ฮัชชานาร์ (Rosh Hashanah)
สัญลักษณ์ ศาสนายูดาห์ ใช้เครื่องหมายเดิมคือ เชิงเทียน 7 กิ่ง แต่ปัจจุบันใช้รูปสามเหลี่ยมซ้อนกัน 2 รูปเป็นดาว 6 แฉก ซึ่งเป็นตราเครื่องหมายประจำของกษัตริย์ดาวิด และเป็นเครื่องหมายในธงชาติอิสราเอลด้วย นอกจากนี้แล้ว ชาวยิวถือว่ามหาวิหาร ณ กรุงเยรูซาเล็มที่กษัตริย์โซโลมอนทรงสร้างขึ้น ก่อนคริสต์ศักราช 900 ปี เป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ ขณะนี้เหลือแต่ซากกำแพงเรียกว่า กำแพงร้องไห้ (Wailing Wall) เป็นสถานที่ชาวยิวทั่วโลกต่างหลั่งไหลกับไปไหว้ ถือว่ากำแพงนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกภาพของชาวยิว ชาวยิวจะจูบกำแพงนี้แล้วซบศีรษะกับกำแพงร้องไห้ เพื่อรำลึกถึงความยิ่งใหญ่ของชาติยิวในอดีต โดยเฉพาะในวันศุกร์
Cr.https://sites.google.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น